รามิเรส (ซ้าย) คือพระเอกของ เชลซี ในการพบกันเลกแรกที่ "สิงห์บลูส์" บุกยำ สเตอัวฯ เละคาถิ่น 0-4
เงื่อนไขการเข้ารอบ
เชลซี : เข้ารอบแล้ว แต่หากต้องการแชมป์กลุ่มแบบไม่ต้องลุ้นผลอีกสนามก็ต้องคว่ำ สเตอัวฯ ให้ได้
สเตอัว บูคาเรสต์ : ตกรอบแล้ว
• สเตอัว บูคาเรสต์ เพิ่งมีสะสม 3 แต้มหลังจากผ่านมา 5 นัด ซึ่งไม่ว่าบทสรุปของเกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จะลงเอยแบบไหน ตัวแทนโรมาเนียก็จะปิดฉากในฐานะบ๊วยของกลุ่มอยู่ดี
• ถึงตอนนี้ สเตอัวฯ ไม่ชนะในรายการ แชมเปี้ยนส์ ลีก มาติดต่อกันกว่า 22 เกมนับตั้งแต่บุกปราบ ดินาโม เคียฟ 4-1 ในปี 2006
Previous meetings
• ฤดูกาลที่แล้วสองทีมเพิ่งเผชิญหน้ากันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของฟุตบอล ยูโรป้า ลีก โดยเลกแรก สเตอัวฯ ประเดิมชัยไปก่อน 1-0 ด้วยประตูโทนจากจุดโทษของ ราอูล รูเซสคู เกมมาเร้าใจในเลก 2 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เพราะ "สิงห์บลูส์" ได้ ฆวน มาตา ยิงประตูขึ้นนำ 1-0 นาทีที่ 34 จนทุกอย่างกลับมาเท่ากัน
• อย่างไรก็ตามกองเชียร์ลอนดอนต้องเงียบกริบ เมื่อทีมเยือนตีเสมอได้สำเร็จจาก วล้าด ชิริเชส ซึ่งจากกฏประตูทีมเยือนบีบให้ เชลซี ต้องการอีกสองประตูและมาได้ จอห์น เทอร์รี่ (น.58) กับ เฟร์นันโด ตอร์เรส (น.71) จัดคนละเม็ดจนสามารถคัมแบ็กแบบโกงความตาย
• สเตอัวฯ เคยปะทะสโมสรพรีเมียร์ลีกมารวม 17 ครั้ง ผลลัพธ์คือ ชนะ 5 เสมอ 4 แพ้ 8 ทว่าแยกเฉพาะผลงานเยือนแดนผู้ดี ทางทีมแกร่งแดนผีดิบทำได้ไม่ดีนัก เพราะไม่เคยบุกชนะทีมอังกฤษได้สักหน (เสมอ 2 แพ้ 6)
Match background
• ประวัติการเล่นรอบแบ่งกลุ่มของ เชลซี น่าเกรงขามทีเดียว เพราะหวดด่านนี้ 10 ฤดูกาลที่ผ่านมาปรากฏว่าฟาดแชมป์กลุ่มไปครองได้ถึง 7 ครั้ง
• โชเซ่ มูรินโญ่ เคยพา ปอร์โต้ (2004) และ อินเตอร์ มิลาน (2010) คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้วและกุนซือชาวโปรตุเกสกำลังลุ้นครองตำแหน่งจ้าวยุโรปในบทบาทกุนซือเป็นครั้งที่ 3 เพื่อทาบสถิติของ บ๊อบ เพรสลี่ย์ เฮ้ดโค้ชคนเดียวในประวัติศาสตร์หน้า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เคยพาต้นสังกัดสัมผัสแชมป์ได้ถึง 3 ครั้ง (1977, 1978 และ 1981 กับ ลิเวอร์พูลทั้งหมด)
• สเตอัว บูคาเรสต์ ก็มีปูมหลังไม่ธรรมดา เพราะเป็นสโมสรเดียวของโรมาเนียที่เคยคว้าแชมป์ยุโรปสำเร็จ ซึ่งความสำเร็จสูงสุดหนึ่งเดียวดังกล่าวเกิดขึ้นในศึก ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยน คลับส์ คัพ ในฤดูกาล 1985/86 จากการเฉือนชนะ บาร์เซโลน่า ในช่วงดวลจุดโทษ