วันฉัตรมงคล วันมงคลของชาติ

วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงประกอบพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นลำดับที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี จึงถือว่า วันที่ ๕ พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันมงคลสมัย พสกนิกรและรัฐบาลจึงได้ร่วมกันจัดพระราชพิธีขึ้นเรียกว่า พระราชพิธีฉัตรมงคล

     พระราชพิธีฉัตรมงคล ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดงาน ๓ วัน เริ่มตั้งแต่
วันที่ ๓ พฤษภาคม เป็นงานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย อุทิศถวายแด่พระบรมราชบุรพการี เป็นพิธีสงฆ์ พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์แล้วพระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนา พระสงฆ์สดับปกรณ์พระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุรพการี
วันที่ ๔ พฤษภาคม เริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคล หัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศ  พระราชพิธีฉัตรมงคล พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เย็น
วันที่ ๕ พฤษภาคม อันเป็นวันฉัตรมงคล จะมีงานเลี้ยงพระและสมโภชเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ได้แก่ พระมหาเศวตฉัตร พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวีชนี ฉลองพระบาทเชิงงอน จากนั้นทหารบก ทหารเรือยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ ๒๑ นัด และวันนี้ก็จะมีการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และผู้กระทำคุณความดีให้แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นบุรุษและสตรี อีกทั้ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เปิดปราสาทพระเทพบิดรในพระบรมมหาราชวังให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการและประชาชนทั่วไปได้เข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมรูปตั้งแต่ ๙.๐๐-๑๗.๐๐ น.

     วันฉัตรมงคลเป็นวันที่ได้ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ นั่นคือวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็ได้ทรงตรากตรำพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ เพื่อพสกนิกรชาวไทยสมดังพระราชปณิธานที่ทรงตั้งไว้ทุกประการ

พระราชกรณียกิจที่ทรงคุณค่าและมีประโยชน์หลากหลายด้านนี้ เกิดขึ้นจากการที่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด ทำให้ได้ทรงเห็นและตระหนักในทุกข์ของประชาชนและกลายเป็นความผูกพันและทรงห่วงใยอันลึกซึ้งและยืนยาวที่ทรงมีต่อประชาชน พระราชหฤทัยผูกพันและห่วงใยนี้เองที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทุ่มเท  พระวรกายและพระราชหฤทัยคิดค้นหาทางอยู่ตลอดเวลาที่จะทำให้ประชาชนคลายทุกข์และอยู่ดีกินดี เพราะประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงสนพระทัยโดยเฉพาะในเรื่องป่า ดินและน้ำอันเป็นปัจจัยสำคัญของเกษตรกรรม ทรงศึกษาด้วยพระองค์เองจนทรงมีความรู้แตกฉาน และพระราชทานความคิดเห็นที่นำไปสู่โครงการตามพระราชดำริที่มีอยู่กว่า ๔,๐๐๐ โครงการทั่วประเทศ

ด้วยพระปรีชาสามารถในด้านต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ  อันเป็นประโยชน์แก่ชาวไทยตลอดพระชนมายุของพระองค์และพระราชทานเป็นแบบอย่างอาทิ "โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่" "โครงการเศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งเป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต  โดยทรง มีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นมา และได้ถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
 เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทาง สายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริเป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงฯที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม "๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข" ที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ "พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน" บนเงื่อนไข "ความรู้" และ "คุณธรรม"

ตลอด ๖๐ กว่าปีภายใต้ร่มฉัตรแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พสกนิกรชาวไทยต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและต่างรู้ซึ้งถึงพระอัจฉริยภาพรอบด้านของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอัจฉริยภาพทางด้านศิลปวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญา "อัครศิลปิน" แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานพระราชวังดุสิต ด้วยทรงเป็นเอตทัคคะในศิลปะสาขาต่างๆ อาทิ ดุริยางคศิลป์ ทัศนศิลป์ และ นฤมิตศิลป์ เป็นต้น จึงทรงได้รับการถวายยกย่องสดุดีในพระเกียรติคุณเป็นที่ประจักษ์ชัด บรรดาศิลปินต่างตระหนักในพระปรีชาสามารถอย่างหาที่เปรียบมิได้ จึงพร้อมใจกันเทิดทูนพระเกียรติยศให้เป็นที่ปรากฏแก่พสกนิกรและชาวโลก
     สำหรับประชาชนและหน่วยงานต่างๆ อาจจะร่วมเฉลิมฉลองในวันนี้ด้วยการประดับธงชาติตามอาคารสถานที่ตั้ง หรืออาจจะจัดการเสวนา หรือสัมมนาทางวิชาการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชพิธีฉัตรมงคลและความสำคัญของพระราชพิธีนี้ว่าเป็นมาอย่างไร หรือกิจกรรมอื่นๆที่เห็นว่าเหมาะสม แต่ที่สำคัญที่ประชาชนชาวไทยทุกคนควรระลึกถึงในวันฉัตรมงคลนี้ก็คือ เป็นวันที่เราได้พระมหากษัตริย์ไทยอีกพระองค์หนึ่งที่ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง

     เนื่องในโอกาส "วันฉัตรมงคล" เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่งนี้ ซึ่งเป็นวันมงคลของชาติ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขอเชิญชวนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทำแต่สิ่งดีงามที่เป็นมงคลแก่ตนเองครอบครัวและแก่บ้านเมือง ด้วยการน้อมรำลึกถึงการอุทิศพระวรกายและพระราชหฤทัยอันใหญ่หลวงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขแก่ราษฎรไทยมายาวนานหากนึกไม่ออกว่า ในวันมหามงคลนี้ จะสนองพระมหาเมตตาธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณอย่างไร ก็นึกถึงการงดเว้นไม่ทำความชั่ว ทำแต่สิ่งที่เชื่อว่าเป็นความดี และทำใจของตนให้สงบและสะอาด ไม่ยอมให้มัวหมองเพราะกิเลส แล้วน้อมเกล้าฯ อุทิศผลบุญถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา