ปู-กุ้ง เกยตื้นเกลื่อนหาดนับล้านตัว ชายหาดชิลีกลายเป็นสีแดง

        พบกุ้งและปูนับล้านตัวลอยขึ้นมาเกยตื้นบนชายหาดในชิลี ทำให้ทั่วทั้งหาดกลายเป็นสีแดงที่เมืองโคโรเนล ห่างจากกรุงซานดิเอโกไปทางใต้ราว 530 กม. พบกุ้งจำนวนมากลอยเกยตื้นชายหาดซึ่งรวมถึงซากปู สร้างความประหลาดใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ จนต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ
ชาวประมงเชื่อว่าการตายของกุ้งจำนวนมหาศาลอาจเกิดจากโรงไฟฟ้าที่อยู่ใกล้เคียงกัน  โรงไฟฟ้าโบคามินา 1 และ 2 ที่มีบริษัทเอ็นเดซา บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าในภูมิภาคเป็นเจ้าของและโรงไฟฟ้าซานตา มาเรีย ของบริษัทคอลบัน ได้ใช้น้ำทะเลสำหรับการหล่อเย็นเตาปฏิกรณ์ ก่อนที่ปล่อยน้ำร้อนออกมา
        ชาวประมงรายหนึ่งเปิดเผยว่า เขาทำประมงตั้งแต่เป็นเด็ก กระทั่งอายุ 69 ปี ยังไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ด้านโฆษกของสมาคมประมงเปิดเผยว่า การตายของสัตว์น้ำเช่นนี้อาจกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่น

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากมลพิษ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในน้ำอย่างกะทันหัน ส่งผลให้กุ้งปรับตัวไม่ทัน และขาดออกซิเจน ทำให้กุ้งลอยขึ้นมาเกยตื้นตาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำตัวอย่างน้ำในบริเวณดังกล่าว รวมทั้งซากกุ้งอีกจำนวนหนึ่งไปตรวจพิสูจน์ เพื่อหาสาเหตุให้ชัดเจนอีกครั้ง
        อัยการที่ว่าความคดีด้านสิ่งแวดล้อมเปิดเผยว่า จำเป็นต้องมีการเก็บหลักฐานให้มากที่สุด เพื่อวิเคราะห์ว่านี่เป็นการกระทำผิดกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ส่วนเจ้าหน้าที่จากคอลบัน ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น ขณะที่เอ็นเดซาเปิดเผยว่า บริษัทมีความระแวดระวังอยู่เสมอ และจะออกแถลงการณ์ในภายหลัง

ขณะที่ประชาชนหลายรายกล่าวโทษมลพิษทางทะเลว่าเป็นสาเหตุครั้งนี้ แต่บางรายเชื่อว่าอาจมีสาเหตุมาจากปรากฏการณ์เอล นิญโญ ที่ทำให้น้ำเลในมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้น
       ช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่ามีสัตว์ทะเลลอยขึ้นมาเกยตื้นบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรอเมริกาใต้เป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าสาเหตุการตายของสัตว์แต่ละชนิดแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม รวมทั้งภาวะที่อาจจะเกิดโรคระบาดหรือเกิดภาวะแหล่งอาหารเป็นพิษ

       ชาวชิลีส่วนใหญ่ต่อต้านแผนการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในภาคกลางของประเทศ โดยการใช้น้ำจากแม่น้ำหลายสายในพื้นที่ โดยเกรงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ชิลีพึ่งพาการใช้พลังน้ำในการผลิตไฟฟ้า และยังจำเป็นต้องมีการนำเข้าเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ กว่า 97% จากต่างประเทศ