ufa1919 buddy99 mvpatm168 วิเคราะห์บอล
De-sign | 21 / 02 / 2013 16:48

เตรียมประกาศภาวะฉุกเฉินพลังงาน ช่วงวันที่ 4-12 เมษายนนี้
            เตรียมประกาศภาวะฉุกเฉินพลังงานช่วงวันที่ 4-12 เมษายนนี้ โดยในเบื้องต้น น่าจะขอให้ผู้ผลิตก๊าซของพม่า เลื่อนการซ่อมแซมไปอีก 3-4 วัน เนื่องจากช่วงเวลาที่ซ่อมแซม เป็นช่วงก่อนสงกรานต์ ทำให้มีความต้องการในการใช้ไฟฟ้าสูงเต็มที่ โรงงานต่าง ๆ ก็เร่งเดินเครื่องการผลิตก่อนหยุดยาว ส่วนประชาชนก็อาจจะใช้ไฟมาก เพราะเจอสภาพอากาศร้อน โดยในปีนี้ จุดสูงสุดของการใช้ไฟฟ้าน่าจะอยู่ที่ 2.7 หมื่นเมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว
              สาเหตุที่ประเทศไทยอาจจะประสบปัญหาดังกล่าว เป็นเพราะพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตกระแสไฟฟ้ามากเกินไป มีอัตราส่วนถึงร้อยละ 70 ขณะที่วิธีอื่น ๆ ในการผลิตกระแสไฟฟ้าก็ยังมีอยู่ เช่น ถ่านหินสะอาด ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า เป็นต้น
             ในช่วงเวลาที่พม่าปิดซ่อมแซม จะเป็นเวลาที่กำลังผลิตสำรองของไทย เหลือเพียง 600 เมกะวัตต์ เท่านั้น จากมาตรฐาน 1,200 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้า 6 แห่งภาคตะวันตก จะหยุดการผลิตรวม 6,000 เมกะวัตต์ แต่ว่า กฟผ. สามารถเจรจากับโรงไฟฟ้าราชบุรี ที่สามารถใช้น้ำมันเตาผลิตไฟฟ้าได้เกือบ 2,000 เมกะวัตต์ ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าหายไป 4,000 เมกะวัตต์
             อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าเก่าที่ผลิตด้วยน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลโรงอื่น ๆ ยังสามารถเดินเครื่องได้อยู่ เช่น โรงไฟฟ้าบางปะกง กำลังการผลิต 2,000 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพระนครใต้ 600 เมกะวัตต์ น่าจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อีกเล็กน้อย 
           
ในช่วงเวลาดังกล่าว อาจทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนปกติ การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 2 บาทต่อหน่วย, การผลิตน้ำมันเตาอยู่ที่ 4 บาทต่อหน่วย และการผลิตด้วยน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 6 บาทต่อหน่วย

 
                   

                    ต่อกรณี จ่อใช้ภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานไฟฟ้า ในเดือนเมษายนนี้ เนื่องจาก ท่อส่งก๊าซไทย-มาเลเซียได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุทิ้งสมอเรือ ส่งผลให้ก๊าซหายไปจากระบบ 270 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และทาง พม่าแจ้งหยุดส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานาและเยตากุน ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติหลักของประเทศไทย ระหว่างวันที่ 4-12 เมษายนนี้ เพื่อซ่อมบำรุงแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติยาดานาที่มีปัญหาทรุดตัว ทำให้จำเป็นต้องปิดระบบก๊าซทั้งหมด โดยก๊าซในส่วนนี้จะหายไปจากระบบประมาณ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็นผลให้หลายฝ่ายเริ่มวิตก หวั่นว่าไฟฟ้าจะดับทั้งประเทศ!
ในข่าวร้ายย่อมมีข่าวดี เพราะ ท่อส่งก๊าซไทย-มาเลเซียที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุทิ้งสมอเรือ เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์นั้น ขณะนี้ได้ซ่อมบำรุงเสร็จเรียบร้อยและ เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

                   แต่ที่น่าเป็นห่วงคือกรณี พม่าจะหยุดส่งก๊าซให้ไทยชั่วคราว เพื่อซ่อมแซมแท่นขุดเจาะ เป็นช่วงพีคหรือช่วงความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของประเทศไทยพอดี นั่นคือเดือนเมษายน-พฤษภาคม ก๊าซ 6,000 เมกะวัตต์ ที่หายไปในส่วนนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อโรงไฟฟ้าฝั่งตะวันตกทั้งหมด ได้แก่ โรงไฟฟ้าบริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน), โรงไฟฟ้าบริษัท ราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด, โรงไฟฟ้าบริษัท ไตรเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด, โรงไฟฟ้าพระนครใต้, โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ และโรงไฟฟ้าวังน้อย
                  การหยุดซ่อมบำรุงครั้งนี้ถือเป็นการแจ้งล่วงหน้าไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ  ล่าสุดได้ยอมเลื่อนหยุดซ่อมบำรุงแล้ว 1 วันเป็นวันที่ 5 เม.ย. แต่ทางไทยกำลังเจรจาขอให้เริ่มต้นซ่อมบำรุงเป็นวันที่ 6 เม.ย.  ดังนั้นสามารถบริหารจัดการล่วงหน้าได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเดือนเมษายนอากาศจะร้อนจัด ปีนี้คาดว่าช่วงพีคจะทะลุไปถึง
27,000 เมกะวัตต์ สูงกว่าพีคของปีก่อนอยู่ในระดับ 26,121.10 เมกะวัตต์ คิดเป็นการขยายตัว 4-5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งบอกไม่ได้ว่าพีคสูงสุดจะเกิดขึ้นวันไหน เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและการใช้ไฟของประชาชน
                  จุดที่น่าเป็นห่วงอีกอย่าง คือ
นอกจากการหยุดซ่อมบำรุงอาจตรงกับช่วงพีคแล้ว ปริมาณสำรองไฟฟ้าฉุกเฉินที่เรียกใช้ได้ทันที หรือฮอตสแตนด์บาย ปีนี้ลดลงเหลือ 600 เมกะวัตต์ จากปกติ 1,200 เมกะวัตต์ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งโรงไฟฟ้าบางแห่งหมดอายุการใช้งานบางส่วน ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ไฟจะดับทั้งประเทศ
         แต่ มั่นใจได้ว่า สถานการณ์จะไม่ร้ายแรงถึงขั้นแบล็คเอาท์ หรือไฟฟ้าดับทั้งประเทศ เพราะมองว่าถ้าสถานการณ์เลวร้ายสูงสุดจะเป็นเพียงการบราวเอาท์ หรือการเลือกดับไฟในบางพื้นที่ พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า การที่ไฟหายไป 1,000 เมกะวัตต์ ก็เท่ากับการใช้ไฟในการเปิดเครื่องปรับอากาศขนาด 1,200 บีทียู ประมาณ 1 ล้านเครื่อง หากประชาชนทั่วประเทศร่วมกันปิดเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดคือเวลา 13.00-15.00 น. ระหว่างวันที่ 4-12 เมษายนนี้ จะสามารถช่วยลดภาระไฟฟ้าของประเทศได้มาก อย่างไรก็ตามหากช่วงพีคของปีนี้ไม่เกิน 26,000 เมกะวัตต์ สถานการณ์ก็ไม่น่าเป็นห่วง

         

แผนรับมือภาวะวิกฤติ มี 8 แนวทาง ดังนี้ 

1. นำโรงไฟฟ้าน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล เดินเครื่องทดแทน 205 ล้านลิตร
2. รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กเพื่อเสริมระบบ
3.เดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศลาว แบ่งเป็น เขื่อนน้ำงึม 2 จำนวน 600 เมกะวัตต์ / น้ำเทิน/2 จำนวน 960 เมกะวัตต์ / เทิน-หินบุน จำนวน 440 เมกะวัตต์ / ห้วยเฮาะ จำนวน 126 เมกะวัตต์ รวมเป็น 2,126 เมกะวัตต์
4.เร่งทดสอบโรงไฟฟ้าที่อยู่ในข่ายโดยใช้เครื่องดีเซล
5.ขอกรมชลประทานเพิ่มการระบายน้ำผลิตไฟฟ้า
6.เลื่อนแผนบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าทั้งหมดในช่วงที่พม่าหยุดส่งก๊าซ
7.ประสาน กฟน.และ กฟภ. ย้ายโหลดสถานีไฟฟ้าแรงสูงลาดพร้าวและรัชดาภิเษก / ย้ายโหลดสถานีไฟฟ้าแรงสูงสามพราน 200 / เพิ่มแรงดันที่สถานี ไฟฟ้าแรงสูงบางกอกน้อย
8.ขอให้ กฟภ.-กฟน. เตรียมแผนดับไฟฟ้ารองรับสถานการณ์ฉุกเฉินหน่วยงานละ 350 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขอความร่วมมือจากภาคประชาชน หน่วยงาน ให้ประหยัดการใช้พลังงานในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเดินต่อไปได้
                    "ในอดีตก็เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้วแต่ไม่หนักเท่า ดังนั้นเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่คนไทยต้องพึงสังวร เพราะเราพึ่งก๊าซธรรมชาติมากซึ่งก็กำลังจะหมดไป แต่ขณะเดียวกันก็มีคนต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าพลังน้ำ สัมปทานก๊าซก็ไม่ให้ต่อ จึงถึงเวลาที่ทุกคนต้องตัดสินใจอนาคตประเทศร่วมกัน ส่วนพลังงานนิวเคลียร์ในเร็ว ๆ นี้ ยังไม่มีโครงการและโอกาสได้ใช้เพราะการศึกษาของไทยในเรื่องดังกล่าวยังไม่เพียงพอ"

ดูบอลออนไลน์, ดูบอลสด พื้นที่โฆษณา

สมาชิกโปรดล็อกอินก่อนร่วมแสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
21 / 02 / 2013 11:44

เค้าจะประกาศห้ามใช้คอมรึป่าวเนี่ย.... Emotion-5

ความคิดเห็นที่ 2
21 / 02 / 2013 12:14

ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลข่าวสารดีๆ ที่นำมาลง สงสารโลกใบนี้ ระบมไปหมดแล้ว ทั้งขุดทั้งเจาะฯ

ความคิดเห็นที่ 3
21 / 02 / 2013 13:50

ช่วยกันประหยัดนะค๊าบบบบพี่น้อง  Laughing