เมื่อปืนใหญ่กระบอกนี้...ไม่เหมือนเดิม

เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม สนามเหย้าของ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล
หลายซีซั่นผ่านไปแบบไร้ถ้วย นับเป็นความล้มเหลวของสโมสรทางตอนเหนือของลอนดอน ทีมที่เคยสร้างเกียรติประวัติมากมาย แต่เมื่อนโยบายด้านธุรกิจของผู้บริหารสโมสรที่เจตนาชัดเจนว่า จะไม่มีทางทุ่มงบก้อนใหญ่เพื่อซื้อความสำเร็จแบบที่ทีมอื่นๆ เขาทำกัน ทำให้ความสำเร็จหนสุดท้ายของพลพรรค "เดอะ กันเนอร์ส" ต้องย้อนไปเมื่อปี 2005 กับการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ
นับตั้งแต่ อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศสก้าวเข้ามากุมบังเหียน เมื่อปี 1996 ก็ได้ปรับระบบการเล่น จากที่เล่นแบบเน้นเกมรับมากจนเกินไป มาเป็นการต่อบอลแบบสวยงาม เกมรุกหลากสไตล์ ทำให้ "เดอะ กันเนอร์" กลายเป็นทีมที่มีแฟนบอลเพิ่มขึ้น พร้อมกับก้าวขึ้นเป็นทีมในหัวแถวของตารางพรีเมียร์ลีกในไม่ช้า

อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้ปลุกปั้นอาร์เซน่อลให้กลายเป็นทืมหัวแถวเมืองผู้ดี
เวนเกอร์ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ก็สามารถพาต้นสังกัด คว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในปี 1997/98 (แชมป์พรีเมียร์ลีก และแชมป์เอฟเอ คัพ) ความสำเร็จในครั้งนั้นต้องมาจากการเสริมทัพอันชาญฉลาดของเฮดโค้ชหน้าเหี่ยว รวมถึงต้องยกเครดิตให้กับนักเตะในชุดนั้น ไม่ว่าจะเป็น โทนี่ อดัมส์, ไนเจล วินเทอร์เบิร์น, ลี ดิ๊กสัน, มาร์ติน คีโอว์น ตำนาน "แบ็กโฟร์" ในยุคนั้น บวกกับนักเตะที่เวนเกอร์เสริมเข้ามาอย่าง เดนนิส เบิร์กแคมป์, เอ็มมานูเอล เปอร์ตี, ปาทริค วิเอร่า, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส และดาวยิงวัยรุ่น "นิโก้" นิโกล่าส์ อเนลก้า

เธียร์รี่ อองรี หัวหอกตัวเก่งหมายเลข 14 ของอาร์เซน่อล
ความสำเร็จต่อมาของทัพ "ปืนใหญ่" คือการคว้าแชมป์ลีกได้อีก 2 สมัย ในปี 2001/02 และปี 2003/04 โดยมี เธียร์รี่ อองรี กองหน้าชาวฝรั่งเศส เป็นคีย์แมนสำคัญ ที่เวนเกอร์ เซ็นสัญญามาจาก ยูเวนตุส ทีมดังจาก อิตาลี ซึ่งในฤดูกาลนั้นถือเป็นตำนานบทใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่ออาร์เซน่อล ลงเล่นโดยไม่แพ้ใครตลอดทั้งฤดูกาล และถือเป็นช่วงที่อาร์เซน่อลประสบความสำเร็จมากที่สุดเลยก็ว่าได้

ขุนพล "ปืนใหญ่" ชุดแชมป์ลีกปี 2003/04 แบบไร้พ่าย สร้างสถิติใหม่ให้วงการฟุตบอลอังกฤษ
สิ่งสำคัญที่ทำให้ "ไอ้ปืนใหญ่" ประสบความสำเร็จใจยุคนั้น คงหนีไม่พ้นผู้เล่นทุกคนในทีมที่เล่นกันได้อย่างเข้าอกเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นปีกทั้งสองฝั่ง โรแบร์ ปิแรส-เฟรดริก ลุงเบิร์ก ที่ชั่วโมงนั้นต้องบอกว่าฟอร์มจัดจ้านช่วยกันทะลวงประตูได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงคนอื่นๆ อย่าง โฆเซ่ เรเยส, คานู, กิลแบร์โต้ ซิลวา บวกกับ เกมรับที่เหนียวแน่นทั้ง โซล แคมป์เบลล์, โคโล ตูเร่ ประกอบกับนายทวารจอมเก๋าอย่าง เยนส์ เลห์มันน์ และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ยอดทีมจากลอนดอนเหนือประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ในปี 2005 โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า หลังจากนั้น อาร์เซน่อล ไม่เคยได้สัมผัสถ้วยแชมป์รายการใดอีกเลย จนถึงปัจจุบัน ...
ที่ใกล้เคียงที่สุด มีเพียงแค่การทะลุผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ "ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก" ในปีต่อมา แต่ก็ทำได้เพียงรองแชมป์เท่านั้น หลังต้องพ่าย บาร์เซโลน่า 1-2 เพราะเหลือผู้เล่น 10 คน (อยากบอกว่าเสียดายมาก) หลังจากนั้นทีมเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย เริ่มต้นด้วยการที่ เธียร์รี่ อองรี กองหน้าตัวเก่งตัดสินใจย้ายออกจากทีม ไปซบบาร์เซโลน่า ในประเทศสเปน แต่เจ้าตัวก็ได้ทิ้งเรื่องราวต่างๆ มากมายไว้ที่นี่ โดยเฉพาะสถิติการถล่มประตูมากที่สุดตลอดการ 228 ประตู ทำให้เขาเป็นนักเตะที่จะอยู่ในใจของแฟนบอล "ปืนใหญ่" ตลอดไป

ถ้วยใบนี้เป็นเพียงรายการเดียวที่ เวนเกอร์ ยังไม่เคยได้สัมผัสมัน
การเสริมทัพของ "เวนเกอร์" นั้นมักใช้เม็ดเงินไม่มาก แต่มักจะได้นักเตะที่เก่งมาร่วมทีมในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่หลังจากปี 2007 เป็นต้นมา การทำทีมของกุนซือเมืองน้ำหอมเหมือนจะตันไปซะทุกทาง จากทีมที่เล่นกันได้ดุดัน ดูแล้วเพลินไปกับเกม กลายเป็นทีมที่เกมรับรั่วเสียประตูง่าย เกมรุกก็เฉียบคมเหมือนก่อน ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงนั้นไม่มีใครรู้ได้ว่าเป็นเพราะ เวนเกอร์ หมดมุขในการทำทีมแล้ว หรือเพราะสโมสรไม่มีแนวทางในการที่จะทำทีมให้ประสบความสำเร็จกันแน่ ???

สามนักเตะตัวหลัก ที่รอความสำเร็จใน เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ไม่ไหว
จนกระทั่งแฟน "กันเนอร์ส" ต้องเสียความรู้สึกต่อเนื่อง เมื่อต้องเห็นนักเตะคนสำคัญของทีม เก็บกระเป๋าย้ายออกจากสโมสรกันในทุกซัมเมอร์ ไม่ว่าจะเป็น เชส ฟาเบรกัส, ซามีร์ นาสรี่, โคโล ตูเร่ ที่ต่างต้องการความสำเร็จในอาชีพการค้าแข้งมากกว่าที่เป็นอยู่ ขณะเดียวกันตัวผุ้เล่นที่เสริมเข้ามาที่ดูแล้วน่าจะเป็นผู้เล่นที่พาทีม "ปืนโต" กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งทั้ง อังเดร อาชาวิน, มารูยาน ชาห์มัค, แชร์กวินโญ่ ก็ไม่ได้สร้างความแปลกใหม่ให้กับทีม แม้จะมีฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงในช่วงแรก
อย่างไรก็ตามบอร์ดบริหารยังคงให้การสนับสนุนการทำทีมของเวนเกอร์ต่อไป ด้วยนโยบาย "กำไรต้องมาก่อน" และเป้าหมายที่ประกาศชัดเจนคือการคว้าอันดับ 4 ให้ได้เพื่อโควต้าบอลยุโรป จนทำให้แฟนบอลนั้นเริ่มไม่พอใจ เพราะต้องการเห็นทีมเป็นทีมลุ้นแชมป์มากกว่า ซึ่งผู้บริหารดูเหมือนจะรู้ แต่กลับยักไหล่ ไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่เห็นหัวแฟนบอลซะงั้น !!!

โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กองหน้าคนสำคัญ ที่ทีมยอมขายให้คู่แข่งอย่าง แมนฯ ยููฯ
ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ปีแล้ว ปีเล่า สาวก "ไอ้ปืนใหญ่" ต้องร้องเพลงรอความสำเร็จมาแล้วถึง 7 ปีเต็ม และถ้ามองผลงานในปีนี้ด้วยแล้ว น่าจะเป็นอีกทีที่ทีมจะจบฤดูกาลมือเปล่าต่อไป หลังทีมตัดสินใจขาย โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กองหน้ากัปตันทีมให้กับ "ปีศาจแดง" ไปเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทำให้เกมรุกของทีมด้อยประสิทธิภาพลงไปอย่างทันตา ที่สำคัญ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, ลูคัส โพดอลสกี้ กองหน้าตัวใหม่ที่เสริมเข้ามาก็ยังไม่สามารถโชว์ฟอร์มที่สุดยอดตอบแทนค่าเหนื่อยได้ (บางคนอาจจะคิดว่า เจ๊เวน ซื้อของปลอมมาใช้งานนี่หว่า)

โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, ลูคัส โพดอสสกี้ ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของเวนเกอร์
ล่าสุดนี้แฟนบอลกลุ่มหนึ่งสุดทนออกมารวมตัวกันประท้วงทีม เนื่องจากต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และมีการทุ่มเงินเพื่อดึงนักเตะที่พร้อมจะเข้ามาทำให้ทีมประสบความสำเร็จได้ทันที บวกกับการที่ทีมจ่อเสียนักเตะฝีเท้าดีออกจากทีมในช่วงปิดฤดูกาล อย่างเช่น ธีโอ วัลค็อตต์ ซูเปอร์ซับ ที่มักยิงประตูสำคัญให้ทีม (แน่นอนไม่มีใครอยากเห็นเขาต้องย้ายทีม) บางส่วนถึงขั้นร้องขอให้สโมสรคิดถึงเรื่องปรับเปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมใหม่ซะ เผื่อว่าทีมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และกลับมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ได้ในเร็ววัน ซึ่งแฟนบอลกลุ่มนี้มองว่า "เวนเกอร์ หมดน้ำยาที่จะพาทีมคว้าแชมป์ได้อีกแล้ว"

แฟนบอล "ไอ้ปืนใหญ่" ไม่พอใจผลงานของทีม รวมตัวประท้วงไล่เวนเกอร์
แล้วไง?? หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าผู้บริหารของทีมก็ออกมาประกาศจุดยืนชัดเจนว่า จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำทีม โดยจะยังให้ อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นผู้จัดการทีมต่อไปจนครบสัญญา และจะไม่มีการเทงบประมาณก้อนโตเพื่อซื้อความสำเร็จแน่นอน แม้ว่าทุกวันนี้ทีมปืนโตกระบอกนี้ จะไม่ร้อนแรงเหมือนเมื่อ 7-8 ปีก่อน และกำลังจะกลายเป็นแค่ไม้ประดับในลีกก็ตาม แต่เนื่องด้วยผลประกอบการ และผลงานนั้นเป็นที่ยอมรับของบอร์ดบริหารแล้ว แฟนบอลอย่างเราก็จะทำได้เพียงแค่ทำใจ และเตรียมใจไว้ล่วงหน้าว่าใครจะเป็นรายต่อไปที่จะต้องเดินจาก เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ในท้ายฤดูกาลนี้

แฟนอาร์เซน่อลคงอยากเห็นภาพแบบนี้อีกครั้ง
แต่สุดท้ายไม่ว่า ปืนกระบอกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด ผมมั่นใจว่าแฟนปืนจะยังรัก และเต็มใจที่จะเชียร์สโมสรนี้ต่อไป สักวันต้องเป็นของเรา ... "Gunners"
.. กุ๊กไก่ ..
28 / 12 / 2012 13:39